Ampere แผนกยานยนต์ไฟฟ้าของ Renault ประกาศความร่วมมือกับ CATL และ LG Energy Solution

Jul 02, 2024ฝากข้อความ

ปารีส 1 กรกฎาคม 2024 - Ampere ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าของ Renault Group ประกาศในวันนี้ว่าบริษัทจะนำเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไออนฟอสเฟต (LFP) มาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจำนวนมาก เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว Ampere จะร่วมมือกับ CATL และ LG Energy Solution ซึ่งเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำระดับโลก เพื่อร่วมกันสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพในยุโรป

 

ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวต่อไปของ Ampere ในตลาดยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ LFP ค่อยๆ กลายเป็นแบตเตอรี่ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง ต้นทุนต่ำ และอายุการใช้งานยาวนาน Ampere หวังที่จะเร่งการเผยแพร่ยานยนต์ไฟฟ้าให้แพร่หลายโดยร่วมมือกับ CATL และ LG Energy Solution และใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยีและการผลิตแบตเตอรี่

 

“เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับผู้นำในอุตสาหกรรม เช่น CATL และ LG Energy Solution” ซีอีโอของ Ampere กล่าว “ความร่วมมือนี้จะไม่เพียงช่วยให้เราสร้างห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่ที่เชื่อถือได้ในยุโรปเท่านั้น แต่ยังทำให้ผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าของเรามีประสิทธิภาพและต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้มากขึ้นอีกด้วย”

 

ทั้ง CATL และ LG Energy Solution ต่างกล่าวว่าพวกเขาตั้งตารอความร่วมมือครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง และเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะส่งเสริมการพัฒนาอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งสองบริษัทจะจัดหาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ LFP ขั้นสูงและความสามารถในการผลิตให้กับ Ampere เพื่อรองรับแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต

 

หลังจากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ ตลาดก็เต็มไปด้วยความมั่นใจในการพัฒนาในอนาคตของ Ampere ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเชื่อว่าการนำเทคโนโลยีแบตเตอรี่ LFP มาใช้จะทำให้ Ampere สามารถครองตำแหน่งที่ดีในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของยุโรปได้ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของแบรนด์และส่วนแบ่งการตลาดให้ดียิ่งขึ้น

 

ความร่วมมือนี้ไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญของ Renault Group ในการส่งเสริมกลยุทธ์การใช้ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของยุโรปในห่วงโซ่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย ด้วยการใช้และการส่งเสริมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ LFP อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจะนำไปสู่โอกาสการเติบโตใหม่ๆ และมีส่วนสนับสนุนต่อการบรรลุเป้าหมายด้านการขนส่งที่ยั่งยืนและการลดการปล่อยคาร์บอนมากขึ้น